
ไวน์ เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงหรือมหาเศรษฐี เพราะอะไรน่ะเหรอ? ทุกคนลองคิดดูสิว่ากว่าจะได้ไวน์ขวดหนึ่งมานั้นมีวิธีการทำที่พิถีพิถันเพียงใด นอกจากขั้นตอนการทำแล้วเรื่องของระยะเวลา คือ สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่าไวน์ขวดนั้นจะถูกหรือแพง ยิ่งถูกบ่มนานราคายิ่งสูง บางขวดถูกบ่มเป็นระยะเวลาร้อยๆ ปีเลยทีเดียว ทำให้เกิดงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งในกลุ่มคนชั้นสูงคือ การสะสมไวน์นั่นเอง และสำหรับใครที่รักในการดื่มไวน์ วันนี้เราก็จะพาคุณตามมาทำความรู้จัก ประเภทของไวน์ กันก่อนว่ามีแบบใดบ้าง ไปติดตามพร้อมๆ กันเลยค่ะ
8 ประเภทของไวน์ ที่คนรักการดื่มไวน์จำเป็นต้องรู้ !
สำหรับประเภทของไวน์นั้นสามารถแบ่งออกได้ด้วยกัน 8 ประเภทค่ะ โดยแต่ละประเภทเราสามารถแบ่งได้ง่ายๆ จากเอกลักษณ์ที่โดดเด่นดังต่อไปนี้
1.ไวน์หวาน
เป็นไวน์ที่ถูกบ่มจากองุ่นพื้นเมืองต่างๆ รสชาติหลักของไวน์ประเภทนี้คือ มีรสจืดไปจนถึงหวานมาก เช่น รสชาติของคาราเมล รสชาติของน้ำตาลทรายแดงหรือรสชาติของผลไม้ที่มีเมล็ดแข็ง เป็นต้น สามารถบ่มได้นานหลายศตวรรษ โดยส่วนมากนิยมนำมาดื่มคู่กับอาหารรสหวาน เช่น ขนมเค้ก พายหรืออาหารคาวที่มีรสหวาน เป็นต้น
2.ไวน์แดง Full-bodied
ประเภทของไวน์ชนิดนี้มาพร้อมจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์คือ มีสีที่เข้ม เพราะถูกบ่มมาจากองุ่นที่มีเปลือกหนา เช่น Malbec, Cabernet Sauvignon, Syrah และ Montepulciano รสชาติหลักของไวน์ประเภทนี้จะให้กลิ่นอายของความเปรี้ยวอมหวานแบบเข้มข้นจากเบอร์รี่ เช่น เชอร์รี่, เบอร์รี่สีเข้มหรือพริกไทยดำ เป็นต้น เหมาะกับอาหารที่มีไขมันสูง เช่น สเต็ก, สตูว์, บาร์บีคิว เป็นต้น มีปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่า 13.5%
3.ไวน์แดง Medium-bodied
ไวน์ชนิดนี้ถูกบ่มจากองุ่นสีแดง เช่น Merlot, CarmenereและCabernet Franc นิยมนำไปใช้สำหรับการผสมมากกว่า มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานตามสไตล์ไวน์แดง เช่น แครนเบอร์รี่ (มักจะถูกผสมในไวน์แดงประเภทนี้) พลัมหรือเชอร์รี่ เป็นต้น นิยมทานคู่กับเนื้อวัวหรือเนื้อที่ผ่านการหมัก โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12.5-13.5%
4.ไวน์แดง Light-bodied
เป็นไวน์ที่มีสารแทนนินน้อย มักใช้องุ่น Pinot Noir และ Gamay ในการบ่ม เนื่องจากมีผิวที่บาง มีรสชาติแครนเบอร์รี่ที่ชัดเจน มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อสัมผัสมีความเข้มข้นน้อยกว่าไวน์แดงประเภทอื่น เช่น รสแครนเบอร์รี่ รสแบล็กเบอร์รี่หรือรสเห็ด เป็นต้น นิยมทานคู่กับอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์หรือชีส มีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า 12.5%
5.ไวน์ Rose
เอกลักษณ์ของไวน์ประเภทนี้คือ มีสีชมพูอ่อน ผิวและเมล็ดขององุ่นถูกหมักแยกกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้สีของไวน์โรเซ่ขาวอมชมพู โดยองุ่นแดงที่นิยมนำมาใช้มากที่สุดคือ Pinot Noir, Merlot และ Sangiovese นิยมนำมาทานคู่กับเนื้อสัตว์ที่ผ่านการหมัก, เนื้อขาวหรือพาสต้า เป็นต้น
6.ไวน์ขาว Full-bodied
เป็นประเภทของไวน์ที่ถูกบ่มมาจากองุ่นขาว เช่น Chardonnay, Semillon, Pecorino และ Viognier จุดเด่นของไวน์ประเภทนี้คือ มีความเข้มข้นสูง รสชาติเปรี้ยวนำ รสชาติหลัก ได้แก่ สัปปะรด มะเฟืองหรือวนิลลา เป็นต้น นิยมนำมาทานคู่กับผัก เนื้อปลาและชีสที่มีกลิ่นฉุนและมีรสเค็มต่าง ๆ เป็นต้น มีปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่า 13.5%
7.ไวน์ขาว Light-bodied
จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือ มีรสชาติเปรี้ยวเพราะมีความเป็นกรดสูง โดยองุ่นขาวที่นิยมนำมาบ่ม ได้แก่ Sauvignon Blanc, Gruner Veltliner และ Pinot Gris รสชาติหลักจะมาจากผลไม้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความเปรี้ยว เช่น ส้ม, เกรปฟรุ๊ต ผสมผสานกับความหอมละมุนของ พีชหรือเมล่อน เป็นต้น นิยมนำมาทานคู่กับปลา, หอยหรือสมุนไพรสด มีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า 12.5%
8.Sparkling wine
ประเภทของไวน์ชนิดนี้มาพร้อมจุดเด่นคือ ความซ่าและความสดชื่น เพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดอยู่ บ่มจากองุ่นหลากหลายชนิดตามภูมิภาค แต่ส่วนมากนิยมใช้ Pinot Noir และ Chardonnay รสชาติเปรี้ยวอมหวานผสมความซ่า เช่น ส้ม, เบอร์รี่สีอ่อนและพีช เป็นต้น นิยมนำมาทานคู่กับปลา, อาหารทะเลและผักใบเขียว เป็นต้น
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หลังจากที่เราพาไปท่องโลกของไวน์ เพื่อทำความรู้จักกับประเภทของไวน์กันแล้ว ต้องยอมรับเลยว่า “ไวน์” เป็นเครื่องดื่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และที่สำคัญไวน์แต่ละขวดมีเรื่องเล่าของตัวเองอยู่เสมอ สำหรับมือใหม่เราขอแนะนำให้เริ่มต้นด้วย Sparkling wine เพราะสามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาถูกกว่าไวน์ชนิดอื่น เหมาะกับการสังสรรค์ทุกเทศกาลเลยนั่นเองค่ะ