ไวน์ เป็นเครื่องดื่มเกรดพรีเมี่ยมที่ได้รับความนิยมมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี เนื่องจากขั้นตอนการผลิตที่พิถีพิถัน รวมถึงรสชาติที่นุ่มละมุนจากผลไม้แท้หลากหลายชนิด ยิ่งเลือกดื่มคู่กับเมนูอาหารที่เหมาะสมจะยิ่งช่วยให้อรรถรสของอาหารอร่อยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่อยากซื้อไวน์ติดบ้านอย่าลืมที่จะซื้อ แก้วไวน์ ที่เหมาะสมกันด้วยนะคะ เพราะแก้วไวน์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การดื่มด่ำไวน์มาพร้อมความอร่อยลงตัวยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านรสชาติหรือกลิ่นก็ตาม
แก้วไวน์ 2 แบบที่ควรมีติดบ้าน ตัวช่วยให้การดื่มไวน์ได้อรรถรสมากขึ้น
สิ่งที่อยู่คู่กับไวน์และขาดกันไม่ได้เหมือนหยินกับหยางคือ แก้วไวน์ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อรสสัมผัสของไวน์นั่นเอง ดังนั้น หากคุณเป็นนักดื่มไวน์ตัวยง แนะนำให้ซื้อแก้วไวน์ 2 ประเภทนี้ติดบ้านไว้ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ดื่มกับไวน์ได้ทุกประเภทตามความเหมาะสมและยังช่วยให้คุณสามารถสัมผัสรสชาติกับกลิ่นของไวน์ได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ตรงกันข้าม หากเลือกใช้แก้วผิดประเภทอาจจะทำให้รสชาติของไวน์ผิดเพี้ยนไปได้เช่นกัน ซึ่งแก้วไวน์ 2 แบบที่ควรมีไว้ก็มีดังนี้
1.Universal Wine Glass
เป็นแก้วไวน์แบบมาตรฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป มีลักษณะตัวอ้วนเพื่อให้อากาศภายในแก้วถ่ายเทและสามารถกักเก็บกลิ่นให้ได้ยาวนานที่สุด มาพร้อมปากแก้วขนาดกลางที่มีความกว้างเหมาะสม ช่วยให้รับรสสัมผัสของไวน์ได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถใช้กับไวน์ได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาว ไวน์แดงหรือ Sparkling wine เป็นต้น หากไม่คิดอะไรมาก แก้วนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์อย่างยิ่ง
2.Flute Champagne Glass
หรือที่รู้จักในชื่อ แก้ว Champagne ลักษณะ สูง โปร่ง ปากแคบ เหมาะกับไวน์ประเภท Sparkling เนื่องจากไวน์ชนิดนี้มีฟองอากาศเยอะ การใช้แก้วที่มีปากกว้างจะทำให้ฟองอากาศระเหยได้ง่าย ส่งผลให้รสสัมผัสเปลี่ยนไปจากเดิม รวมถึงใช้สำหรับดื่มไวน์ขาวทุกประเภท เหมาะกับไวน์ที่มีเนื้อสัมผัสเบาบางไม่หนักมาก เพราะจะช่วยลดการระเหยได้เป็นอย่างดี
ทำความรู้จักประเภทของไวน์เพื่อเลือก แก้วไวน์ ที่เหมาะสม
ไวน์แต่ละประเภทมีรสชาติและรสสัมผัสที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลิ่นก็ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะพาคุณไปดูกันว่าไวน์แบบไหนมีรสชาติอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกใช้แก้วไวน์ได้อย่างเหมาะสมถูกกับประเภทของไวน์นั้นๆ
1.ไวน์หวาน
ถูกบ่มมาจากองุ่นพื้นเมืองต่างๆ รสชาติหลักของไวน์ประเภทนี้คือ รสจืดไปจนถึงหวานมาก เช่น รสชาติของคาราเมล รสชาติของน้ำตาลทรายแดง หรือรสชาติของผลไม้ที่มีเมล็ดแข็ง เป็นต้น
2.ไวน์แดง Full-bodied
จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือ มีสีที่เข้มเพราะถูกบ่มมาจากองุ่นที่มีเปลือกหนา รสชาติหลักของไวน์ประเภทนี้จะให้กลิ่นอายของความเปรี้ยวอมหวานแบบเข้มข้นจากเบอร์รี่
3.ไวน์แดง Medium-bodied
ถูกบ่มจากองุ่นสีแดง นิยมนำไปใช้สำหรับการผสมมากกว่า มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานตามสไตล์ไวน์แดง เช่น แครนเบอร์รี่ พลัมหรือเชอร์รี่ เป็นต้น
4.ไวน์แดง Light-bodied
เป็นไวน์ที่มีสารแทนนินน้อย มักใช้องุ่นผิวบาง มีรสชาติแครนเบอร์รี่ที่ชัดเจน รสสัมผัสหลัก ได้แก่ รสแครนเบอร์รี่ รสแบล็กเบอร์รี่หรือรสเห็ด เป็นต้น
5.ไวน์ Rose
เอกลักษณ์ของไวน์ประเภทนี้คือ มีสีชมพูอ่อน ผิวและเมล็ดขององุ่นถูกหมักแยกกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้สีชมพูอ่อน
6.ไวน์ขาว Full-bodied
ถูกบ่มมาจากองุ่นขาว จุดเด่นของไวน์ประเภทนี้คือ มีความเข้มข้นสูง รสชาติเปรี้ยวนำ รสชาติหลัก ได้แก่ สัปปะรด มะเฟือง หรือวนิลลา เป็นต้น
7.ไวน์ขาว Light-bodied
จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือ มีรสเปรี้ยว เพราะมีความเป็นกรดสูง รสชาติหลักจะมาจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม, เกรปฟรุ๊ต ผสมผสานกับความหอมละมุนของ พีชหรือเมล่อน เป็นต้น
8.Sparkling wine
จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือ มีฟองเยอะ บ่มจากองุ่นหลากหลายชนิดตามภูมิภาค รสชาติเปรี้ยวอมหวานผสมความซ่า เช่น ส้ม, เบอร์รี่สีอ่อนและพีช เป็นต้น โดย Sparkling wine เหมาะที่จะใช้แก้วไวน์แบบ Flute Champagne Glass มากที่สุด
จริงๆ แล้วการเลือก แก้วไวน์ ส่งผลต่อรสชาติของการดื่มไวน์ขนาดนั้นจริงหรือ? ขอตอบตรงนี้เลยว่า ไม่ส่งผลกระทบขนาดนั้น แต่รสสัมผัสนั้นอาจจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากแก้วไวน์แต่ละประเภทถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับไวน์แต่ละชนิดที่ไม่เหมือนกัน โดยอาจจะมีความพิเศษหรือกิมมิคเล็กๆ ให้ผู้ดื่มได้รู้สึกตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม แก้วไวน์ถูกผลิตจากผู้ให้บริการชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Zalto แก้วไวน์สุดคลาสสิคสุดพรีเมี่ยม หรือใครที่อยากประหยัดเงินมาหน่อยแนะนำแบรนด์ Libbey แต่คุณภาพสูง และอีกหนึ่งแบรนด์น้องใหม่ที่น่าจับตามองคือ NUDE ที่ดีไซน์ให้เหมาะกับคนยุคใหม่ในยุคปัจจุบันนั่นเอง
เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/
อ่านบทความ Sparkling Wine แบบไหนฝาด แบบไหนหวาน เลือกยังไง มาดูกัน