เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากคนทุกชนชาติ ด้วยรสชาติที่มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบที่นุ่มละมุนหรือเข้มบาดคอ โดยเฉพาะ ALE เบียร์เก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและถือเป็นต้นกำเนิดของเบียร์หลายชนิด ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเบียร์ ALE กันค่ะ
ทำความรู้จักกับเบียร์ ALE และประเภทของเบียร์ที่ควรรู้ !
การผลิตเบียร์ในช่วงแรกไม่ใช้ Hops ในการผลิตแต่จะใช้สมุนไพรหรือเครื่องเทศแทน Hops เพื่อทำให้เบียร์มีรสขม ต่อมาได้มีการนำ Hops มาใช้ในการหมักเบียร์สำหรับดื่มในบ้าน โดยเบียร์ที่หมักได้จะให้พลังงานสูง แอลกอฮอล์น้อย ทำให้ดื่มได้ทุกคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ต่อมาความนิยมในการดื่มเบียร์เพิ่มขึ้นจึงมีการผลิตออกมาขายในท้องตลาดและได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน ซึ่งเบียร์ที่มีอยู่ในท้องตลาดสามารถแบ่งประเภทของเบียร์ได้เป็น 3 ประเภทหลัก ตามลักษณะการหมักของยีสต์และชนิดของยีสต์ที่ใช้ในการหมัก ดังต่อไปนี้
1.ALE
คือ เบียร์ที่เกิดปฏิกิริยาการหมักของยีสต์ในขั้นตอนการหมักเบียร์ที่บริเวณผิวหน้าของน้ำเบียร์ ซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่า “Top-Fermenting Yeast”
2.LAGER
คือ เบียร์ที่เกิดปฏิกิริยาการหมักของยีสต์ในขั้นตอนการหมักเบียร์ที่บริเวณด้านล่างของน้ำเบียร์ ซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่า “Bottom-Fermenting Yeast”
3.Lambic
คือ เบียร์ที่ไม่มีการเติมยีสต์เข้าไปในกระบวนการหมักเบียร์ แต่ใช้ยีสต์ตามธรรมชาติที่อยู่ในน้ำเบียร์เป็นตัวหมัก เรียกปฏิกิริยานี้ว่า “Spontaneous Fermentation” ซึ่งเบียร์ที่ได้จะมีรสชาติเปรี้ยว
ที่กล่าวมานี้เป็นต้นกำเนิดของเบียร์ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเบียร์แต่ละแบบจะมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเฉพาะ ALE ที่มีรสชาติเข้มข้นและสีสันแลดูลึกลับน่าค้นหา
ขั้นตอนการผลิตเบียร์ ALE
การผลิตเบียร์ ALE มีส่วนประกอบหลัก คือ ข้าวมอล์ (malt) ดอกฮอพ (Hops) น้ำ ยีสต์และน้ำตาล ซึ่งการหมักจะใช้ยีสต์ที่เกิดปฏิกิริยาที่บริเวณผิวหน้าของน้ำเบียร์หรือประเภทหมักลอยผิว (top yeast หรือ surface yeast) เช่น Saccharomyces cerevisiae เป็นต้น เกิดปฏิกิริยา Top-Fermenting Yeast ทำการหมักที่อุณหภูมิ 15-24 องศาเซลเซียสประมาณ 7-8 วัน มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 5.5 -6.5 ดีกรี เบียร์ชนิดนี้จะมีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์คือกลิ่นผลไม้และเครื่องเทศ
ประเภทของเบียร์ ALE ที่เหล่านักดื่มไม่ควรพลาด !
เบียร์ ALE ที่ผลิตออกมามีอยู่ด้วยกันหลายประเภทตามความต้องการของนักดื่ม แต่ว่าประเภทหลัก ๆ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ได้ดื่มมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด ดังนี้
1.Bitter Ale (บิทเทอร์ เอล)
คือ เบียร์ ALE ที่มีรสชาติกลมกล่อม ทำการหมักจากผลไม้ ในช่วงแรกที่ทำการจะมีรสหวานของมอลต์ มีความนุ่ม ปริมาณแอลกอฮอล์น้อย ทำให้สามารถดื่มได้ปริมาณ ถือเป็นเบียร์ที่มีรสชาติอ่อนที่สุด
2.Pale Ale (เพล เอล)
คือ เบียร์ที่ใช้มอลต์สีอ่อนมาทำการหมัก ทำให้ได้เบียร์ที่มีเหลืองอำพัน ในการหมักจะใช้ปริมาณมอลต์กับHops เท่า ๆ กัน ส่งผลให้เบียร์ทีได้มีรสชาติหวานอมขมเวลาที่ดื่มเป็นเบียร์ที่ถือว่ารสชาติอ่อน แต่ก็เข้มข้นกว่า Bittert Ale เล็กน้อย โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 3.9- 7 ดีกรี
3.Brown Ale (บราวน์ เอล)
คือ เบียร์ที่มีรสหวานนำ เนื่องจากมีการใช้ Hops ในสัดส่วนที่น้อยกว่ามอลต์ ทำให้เบียร์ที่ได้มีรสหวานนำ มีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยประมาณ 4-6 ดีกรีเท่านั้น เบียร์มีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีอำพันเข้ม เหมาะกับคนที่ไม่ชอบรสขมของเบียร์ เพราะเบียร์นี้จะให้รสหวานนั่นเอง
4.Indian Pale Ale (IPA) (อินเดีย เพล เอล)
คือ เบียร์ชนิดนี้มีรสชาติคล้าย Pale Ale แต่มีการใส่ Hops มากกว่า ทำให้ IPA มีรสชาติที่โดดเด่นของ Hops มีกลิ่นผลไม้ รสชาติเข้มข้นและเป็น Ale ที่มีรสขมมากที่สุด มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงที่สุดประมาณ 6-7 ดีกรี ซึ่งถือว่าสูงกว่า Ale ทุกชนิด เหมาะสำหรับคนที่คอแข็งและชื่นชอบรสขมที่เป็นเอกลักษณ์ของเบียร์
จะเห็นว่า Ale เป็นเบียร์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งปัจจุบันนี้รสชาติของ Ale ได้มีการพัฒนาเพื่อตอบสนองรสชาติที่ผู้คนชื่นชอบ แต่บางแบรนด์ยังคงรักษารสชาติแบบดั้งเดิมอยู่ ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบดื่มเบียร์การได้ดื่ม Ale จะทำให้คุณสัมผัสถึงต้นกำเนิดของเบียร์ได้อย่างแท้จริง แล้วคุณจะหลงรัก Ale อย่างไม่รู้ตัว