ถ้าพูดถึง Single Malt สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักดื่มประจำ ก็อาจจะไม่รู้ว่าเครื่องดื่มชนิดนี้คืออะไร มีลักษณะและรสชาติอย่างไรบ้าง แต่สำหรับใครที่หลงใหลในการดื่ม Scotch Whisky อยู่แล้ว ก็จะรู้กันดีว่าเครื่องดื่มชนิดนี้มีความดีงามมากแค่ไหน ซึ่งหลายคนก็ถึงขั้นยกให้เป็นสุดยอดศิลปะแห่งวิสกี้ที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลยอีกด้วย
Single Malt คืออะไร แตกต่างกับวิสกี้ปกติยังไงบ้าง?
ขออธิบายก่อนว่า Scotch Whisky ที่หลายคนคุ้นเคยกันดีนั้น เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการนำธัญพืชหลายๆ ชนิดมาหมักและบ่มในถังไม้ แต่ถ้าหากเป็น Single Malt ก็นับว่าเป็นวิสกี้เหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงที่ว่าหมักจากข้าวบาร์เลย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และยังใช้โรงกลั่นแค่เพียงโรงเดียวอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่าเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นงานคราฟต์ที่บรรจงทำก็ไม่ผิดเพี้ยนนัก เพราะต้องใช้ทั้งเวลา ใช้ทั้งความสามารถของผู้บ่มเป็นอย่างดี จนถึงขั้นที่ต้องระบุเลยว่า ซิงเกิลมอลต์ที่ดี จะต้องมี 5 คุณสมบัติดังนี้
- ทำจากข้าวบาร์เลย์มอลต์ ยีสต์ และน้ำเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมอื่นอีก
- จะต้องหมัก บ่ม และกลั่น ภายในประเทศสก็อตแลนด์เท่านั้น ถ้าจากที่อื่นไม่นับ
- ในขั้นตอนของการกลั่น จะต้องกลั่นแบบ Pot Still ซึ่งเป็นการกลั่นแบบโบราณ จากเครื่องมือที่ทำจากทองแดง
- ต้องบ่มอยู่ในถังไม่โอ๊คเป็นเวลา 3 ปีขึ้นไป และแน่นอนว่าต้องที่สก็อตแลนด์เท่านั้น
- การบรรจุขวดก็ต้องทำที่สก็อตแลนด์ และจะต้องมีดีกรีแอลกอฮอล์ที่ 40% ขึ้นไป
Single Malt มีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบรสชาติเหมือนกันหรือไม่?
นอกจากขั้นตอนการผลิตที่เต็มไปด้วยความประณีต พิถีพิถันจนกลายเป็นศิลปะแล้ว Single Malt ที่ผลิตในสก็อตแลนด์ ยังสามารถแบ่งออกเป็นเขต ซึ่งแต่ละเขตจะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. Single Malt จาก Highland
เป็นเขตผลิตเครื่องดื่มชนิดนี้ที่ใหญ่ที่สุด เห็นได้จากปริมาณของโรงกลั่นที่มีจำนวนมาก รสชาติที่สัมผัสได้จากเขตนี้ คือกลิ่นดอกไม้บางๆ กลิ่นไม้โอ๊คที่ได้จากการบ่ม และยังมีกลิ่นควันแซมมาจางๆ ด้วย
2. Single Malt จาก Speyside
เขตนี้จะตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งเขตใหญ่เพราะสามารถผลิตวิสกี้ได้มากถึง 60% จากจำนวนวิสกี้ทั้งหมดของประเทศ Single Malt ที่ได้จากเขตนี้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือมีกลิ่นหอมวานิลลาผสมกับน้ำผึ้ง จึงทำให้มีรสชาติหวานตามไปด้วย และยังมีกลิ่นผลไม้จางๆ ปนอยู่นิดหน่อย
3. Single Malt จาก Lowland
ดูจากชื่อก็พอเดาได้ว่าเขตนี้ต้องอยู่ทางใต้ของประเทศแน่นอน เครื่องดื่มที่ได้จากเขตนี้จะเน้นหนักไปที่กลิ่นหอมของดอกไม้ และมีรสชาติเบาบางมากที่สุด เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากหัดดื่มเป็นอย่างยิ่ง
4. Single Malt จาก Islay
เขตนี้พิเศษกว่าใครตรงที่เป็นเกาะอยู่กลางทะเล เพราะฉะนั้นรสชาติของเครื่องดื่มที่ได้จากเขตนี้จึงจัดจ้านกว่าที่อื่น นั่นก็คือมีกลิ่นควันแบบชัดเจน มีกลิ่นไอทะเลแทรกอยู่ด้วย รสชาติเข้มข้นมากๆ จนพูดได้เลยว่าไม่เหมาะกับมือใหม่อย่างแน่นอน
5. Single Malt จาก Campbeltown
เขตนี้ก็เป็นเกาะเช่นกัน แต่เป็นเกาะที่ติดกับทะเลใหญ่ จึงทำให้รสชาติของเครื่องดื่มไม่เข้มข้นเท่า Islay และยังดื่มง่ายกว่ามากๆ เพราะมีทั้งกลิ่นของวานิลลา ผลไม้แห้ง และกลิ่นท็อฟฟี่น้ำตาลหอมหวาน มีกลื่นควันและไอทะเลจางๆ ติดมาเล็กน้อยเท่านั้น
ดื่ม Single Malt ยังไง ให้ได้รสชาติและสัมผัสที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าการดื่มที่ได้รสชาติที่สุด จะต้องเป็นการดื่มแบบเพียวๆ ไม่ผสมอะไรเลย และอย่าลืมอมไว้ในปากสักเล็กน้อย เพื่อสัมผัสรสชาติและกลิ่นต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะกลืนลงไป แต่ถ้าหากว่าไม่ไหวจริงๆ ก็สามารถดื่มแบบ On the rock ด้วยการใส่น้ำแข็งลงไป 2-3 ก้อนเพื่อลดความเข้มข้นลงได้ หรือจะดื่มแบบผสมน้ำเปล่าในอัตราส่วนเท่ากัน ก็จะได้รสชาติที่แปลกใหม่เพิ่มเข้าไปอีก
การดื่ม Single Malt อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับมือใหม่ ด้วยรสชาติที่ค่อนข้างเข้มข้น และแตกต่างจากสก็อตวิสกี้แบบเดิมๆ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณได้ลองสักครั้งหนึ่ง รับรองได้เลยว่าคุณจะประทับใจในศิลปะนี้จนอาจถอนตัวไม่ขึ้นเลยก็เป็นได้