เมื่อพูดถึงไวน์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้น คงจะลืมนึกถึงเครื่องดื่มอย่าง “เหล้าบรั่นดี” ไปไม่ได้เลยล่ะค่ะ ซึ่งไวน์ชนิดนี้หลาย ๆ คน ก็อาจจะคุ้นชื่อกันในชื่อของไวน์ไหม้เพราะเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความน่าค้นหาและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และรู้หรือไม่ว่าไวน์ชนิดนี้นั้นเขามีประวัติความเป็นมาที่น่าทึ่งมาก ๆ ซึ่งเกิดจากความบังเอิญจนกลายมาเป็นตำนานถึงทุกวันนี้กันเลยทีเดียว
ทำความรู้จัก เหล้าบรั่นดี จากความบังเอิญสู่ตำนาน
บรั่นดี (Brandy) ชื่อของไวน์ที่เราคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดีคำนี้มาจากภาษาดัทช์ในคำว่า “brandewijn” ซึ่งหากจะแปลตรงตัวเลยก็คือคำว่า “Burned Wine” ที่แปลว่าไวน์ไหม้ ซึ่งคำนี้ถือเป็นคำที่มีความหมายตรงตัวมาก ๆ ค่ะ ซึ่งการที่ใช้คำว่าไวน์ไหม้นี้ก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของกลิ่นของโน้ตที่จะมีความออกเป็นกลิ่นไหม้ ๆ อยู่นิดหนึ่ง ซึ่งนี่แหละที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของบรั่นดี และทำให้ไวน์ชนิดนี้มีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองมาจวบจนปัจจุบัน
ประวัติของเหล้าบรั่นดี
ในเรื่องประวัติของบรั่นดีนั้นคงจะต้องพาทุกท่านย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ.1006’s ในช่วงต้นปีที่ชาวดัชนั้นมักจะเดินทางไปค้าขายไวน์และสุราอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยที่ในสมัยก่อนนั้นเรื่องของการถนอมอาหารต่างๆ ยังไม่มีการพัฒนาและเป็นแบบแผนเฉกเช่นในปัจจุบัน จึงทำให้เรื่องของการถนอมอาหารนั้นมีความยากลำบากมาก ดังนั้นไวน์ที่ถูกขนส่งไปยังอเมริกาใต้จึงได้มีการเน่าเสียอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้เกิดการขาดทุนอยู่บ่อยครั้งเช่นเดียวกัน
และเหตุนี้เองจึงทำให้เหล่าพ่อค้าชาวดัชตัดสินใจคิดค้นวิธีการถนอมไวน์เหล่านี้ด้วยการกลั่นไวน์และนำไปใส่ลงในลังไม้เพื่อที่จะทำให้ไวน์นั้นมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และทำให้เกิดการเน่าเสียได้น้อยลง และเมื่อถึงที่หมายก็จะผสมน้ำลงไปในไวน์ที่ทำการกลั่นเอาไว้แล้ว เพื่อให้ไวน์ที่กลั่นไว้นั้นเกิดความเจือจางขึ้น แต่ผลดันปรากฏว่าไวน์กลั่นนั้นกลายเป็นไวน์ที่ดันมีรสชาติที่มีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้ไม่ต้องผสมน้ำลงไป และเนที่ชื่นชอบของชาวดัชเป็นอย่างมาก และเหตุนี้เองที่ทำให้ชื่อของบรั่นดีถือกำเนิดขึ้นมา
รสชาติของเหล้าบรั่นดี
ในส่วนของเรื่องรสชาติของบรั่นดีนั้น ก็ต้องขอเท้าความในเรื่องของส่วนประกอบในการทำบรั่นดีเสียก่อน ซึ่งบรั่นดีจะทำจากน้ำผลไม้ชนิดใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะทำจากกากองุ่นที่เหลือซึ่งเมื่อหมักไว้นั้นก็จะทำให้มีรสชาติที่มีความหวานของลไม้มีความนุ่มลิ้นและยังมีโน้ตออกไหม้ ๆ แบบชาโควหรือกลิ่นของไม้โอ๊ค ซึ่งนั่นก็เป็นผลมาจากการหมักบรั่นดีเอาไว้ในลังไม้นั่นเอง จึงทำให้กลิ่นที่ออกมาดูมีความคล้ายกลิ่นไหม้ ๆ ซึ่งบรั่นดีในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกันหลายประเภทค่ะ เช่น
- คอนยัค
เป็นบรั่นดีที่ได้ชื่อว่าเป็นบรั่นดีชั้นยอดที่สุดในโลกโดยได้ผลิตในฝรั่งเศส ที่ว่ากันว่าเกิดจากการเบลนด์องุ่นขาว ซึ่งก็จะต้องนำองุ่นนั้นไปหมักก่อนและนำกากองุ่นหรือผิวองุ่นมาผสมเพื่อให้ได้รสชาติที่มีความเปรี้ยวฝาดขมที่ปลายลิ้น ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเด่นของคอนยัคเลย และจำเป็นที่จะต้องกลั่นก่อนจึงจะสามารถดื่มได้
- เชอร์รี่บรั่นดี
เป็นบรั่นดีที่ทำในสไตล์ไวน์เชอร์รี่ของสเปน โดยกระบวนวิธีการทำนั้นจะมีการทำเหมือนไวน์เชอร์รี่เลยค่ะเพียงแต่เขาจะไม่ใช้องุ่นในการกลั่น ซึ่งวิธีการของเขาค่อนข้างมีความซับซ้อนอยู่พอสมควรเลยอีกทั้งยังนิยมเอจให้ยาวนานถึง 10 ปีกันเลยทีเดียว
- อามียัค
สำหรับบรั่นดีประเภทนี้เขาจะมีความคล้ายคลึงกับตัวคอนยัคเลยค่ะ แต่จะต่างกันตรงที่คอนยัคจะกลั่น 2 รอบ แต่อามียัคจะกลั่นเพียงแค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังใช้วิธีการหมักด้วยองุ่นขาวเนเดียวกัน ซึ่งลักษณะการกลั่นนั้นก็จะมีความคล้ายกับว็อดก้าเลย
- พิสโก้
เป็นบรั่นดีที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 1700’s ซึ่งเป็นบรั่นดีของประเทศเปรูและชิลี โดยบรั่นดีประเภทนี้จะใช้องุ่นที่ปลูกในพื้นที่เขตร้อนมาทำการหมัก ซึ่งองุ่นในเขตร้อนนั้นจะมีปริมาณของน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้รสชาติของบรั่นดีชนิดนี้มีรสชาติที่หวานนำซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเขาเลยทีเดียว
- คาลวาโดส
ถือเป็นบรั่นดีที่ดื่มได้ง่ายที่สุด ซึ่งเขาจะใช้วิธีการหมักด้วยแอปเปิ้ลหลากหลายสายพันธุ์ซึ่งนั่นก็จะทำให้รสชาติของเหล้าบรั่นดีชนิดนี้สามารถคงเอาไว้ได้เพราะเขาจีรสชาติที่เปรี้ยว หวาน และมีความฝาด รวมถึงขมปลาย ๆ จึงทำให้ดื่มได้ง่ายนั่นเอง
ความนิยมของบรั่นดี
ในปัจจุบันทั่วโลกนั้นต่างก็ให้ความสนใจเกี่ยวกับบรั่นดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและเมื่อเวลาผ่านไปก็จะมีวิธีการทำบรั่นดีสูตรใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ ทำให้เรื่องของรสชาตินั้นก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งในประเทศไทยของเราหากจะหาบรั่นดีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักเลยก็คงจะไม่พ้น รีเจนซี่ค่ะเพราะเรามักจะเห็นโฆษณาอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของบรั่นดีที่ยังคงมีเสน่ห์นั้นก็คือกรรมวิธีในการทำไปจนถึงรสชาติที่มีความนุ่มนวลและเข้มข้นในเวลาเดียวกัน ทำให้เขากลายเป็นเครื่องดื่มที่มีความวิเศษมากสำหรับคนสมัยนี้
และนี่ก็คือเรื่องราวของความบังเอิญของบรั่นดีที่ได้กลายมาเป็นตำนานและเป็นเจ้าแห่งไวน์ที่ใคร ๆ หลาย ๆ คน ต่างก็หลงใหลและชื่นชมในความเป็นเอกลักษณ์ของมัน อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังมีวิธีการดื่มที่จะทำให้รสชาติของบรั่นดีออกมาได้ดีที่สุด ซึ่งสามารถดื่มได้ทั้งแบบเพียว ๆ ไม่ต้องใส่น้ำแข่งหรือจะดื่มแบบออนเดอะร็อคก็ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นใครที่มีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับเหล้าบรั่นดีนั้น หวังว่าบทความบทนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีให้กับสิ่งที่คุณกำบังสงสัยอยู่ให้เกิดความกระจ่างได้
อ่านบทความ รีเจนซี่ บรั่นดีไทย ที่อยู่คู่คนไทยมามากกว่า 40 ปี
Credit : ที่พัก , เสริมสวย , สัตว์เลี้ยง , ต้นไม้ , แฟชั่นผู้หญิง , เครื่องสำอาง